Sunday, 24 August 2014

วันที่ 2 เที่ยวเมือง Hambach และ Bad Dürkheim

หลังจากพักเหนื่อยในคืนแรกที่มาถึงประเทศเยอรมันแล้ว วันที่ 2 ดาเริ่มต้นเที่ยวที่ Hambacher Schloss (Hambach Castle) เมือง Hambach เพราะเป็นเมืองที่ไม่ไกลจากเมือง Mannheim ที่ดาพักอยู่มาก ปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ชื่อว่า Schlossberg (Castle mountain) ที่นี่เป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยของประเทศเยอรมันเพราะชาว Hambach ต่างมารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 1832  

Hambacher Schloss
Hambacher Schloss (Hambach castle)

View of Hambach
วิวเมือง Hambach จาก Hambacher Schloss

ตอนแรกว่าจะเดินดูรอบๆ ปราสาท แต่อากาศไม่เป็นใจเลย ฝนตกตลอด ลมก็แรงมากด้วย เลยแวะดื่มช็อคโกแลตร้อนๆ ที่ Hambachschloss Restaurant 1832 ซะเลย
Hot Chocolate at Hambacher Schloss Restaurant 1832
ช็อกโกแลตร้อนๆ (เห็นมีหลอดก็อย่าเพิ่งรีบดูดนะไม่งั้นจะลวกลิ้นจนร้องจ๊ากเลยล่ะ)

เครื่องดื่มช็อกโกแลตที่นี่จะไม่เหมือนกับที่เมืองไทยนะคะของเค้าจะผสมซินนามอนหน่อยๆ หอมๆ ก็อร่อยไปอีกแบบค่ะ

จากนั้นก็เดินทางต่อไปที่เมือง Bad Dürkheim เป็นเมืองสปาแห่งหนึ่งในเยอรมัน เนื่องจากมีแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ ของที่นี่ คือ Saline (Graduation Tower) ตัวอาคารประกอบด้วยกิ่งไม้ Blackthorn จำนวนมากอัดกันเป็นผนัง น้ำที่ไหลลงผ่านกิ่งไม้เหล่านี้จะระเหยออกมาเป็นอากาศที่บริสุทธิ์ นักท่องเที่ยวมากมายเดินทางมาที่นี่เพื่อสูดอากาศเพราะเขาเชื่อว่าถ้าได้สูดอากาศที่นี่ก็เสมือนกับสูดอากาศที่ทะเล และบางคนเชื่อว่าสามารถช่วยให้อาการหืดหอบดีขึ้นด้วย

Saline (Graduation Tower)

Saline (Graduation Tower)
Saline (Graduation Tower)

ไม่ไกลจาก Saline จะเห็นถังไวน์ใบใหญ่ที่เรียกว่า Reisenfass (Giant Cask / Giant Barrel) ตั้งเด่นอยู่ ซึ่งเป็นถังไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสามารถบรรจุน้ำได้ถึง 1.7 ล้านลิตรแต่เขาไม่ได้เอาไว้เก็บไวน์อีกต่อไปแล้วค่ะ เขาดัดแปลงภายในให้เป็นร้านอาหารซึ่งสามารถจุคนได้ถึง 400 คนเลยทีเดียว

Dürkheimer Riesenfass
Dürkheimer Riesenfass
ขากลับบ้าน ผ่านร้าน Lidl ด้วย Lidl เป็นร้านสะดวกซื้อคล้ายๆ กับโลตัสบ้านเรา สินค้าของเขามีราคาถูกและบริการเร็ว แต่จะมีแบรนด์จำกัดและไม่มีบริการใส่ถุงเหมือนบ้านเรา 

จะหา Lidl ต้องหาป้ายนี้
พนักงานแคชเชียร์จะสแกนของเร็วมากเพราะมีสินค้าทุกชิ้นมีบาร์โค้ดอยู่ทุกด้าน ทำให้พนักงานไม่ต้องเสียเวลาหาบาร์โค้ด เพียงแค่เลื่อนสินค้าผ่านเครื่องสแกนเท่านั้นเอง เร็วมากๆ เร็วจนเก็บของใส่รถเข็นไม่ทันเลย ร้านนี้จะมีพนักงานในร้านประมาณ 2-3 คนเท่านั้นและทำทุกตำแหน่งตั้งแต่เช็คสต๊อกยังพนักงานแคชเชียร์ อย่างที่รู้กันว่าค่าแรงของเขาแพงมาก ส่วนอีกหนึ่งร้านสะดวกซื้อที่คล้ายๆ Lidl ก็คือ Aldi ซึ่งจะมี 2 สาขา คือ Aldi Nord และ Aldi Süd  ค่ะ

โลโก้ร้าน Aldi Nord และ Aldi Süd 

วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ไว้ต่อวันที่ 3 กันนะคะ ^^ 

No comments:

Post a Comment