Sunday, 14 September 2014

วันที่ 3 เที่ยว เที่ยว Heidelberg และ Speyer (ตอนที่ 2)

มาต่อช่วงบ่ายของวันที่ 3 ที่เมืองชไปเออร์ เมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ตอนบน หนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดใประเทศเยอรมันเลยนะจ๊ะ เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม จุดเด่นของเมืองนี้ คือ มหาวิหารชไปเออร์ (Speyer Cathedral)  ซึ่งตั้งเด่นอยู่ใจกลางเมือง สถาปัตยกรรมเป็นแบบโรมาเนสก์ ภายในเป็นที่ฝังพระบรมศพของพระมหากษัตริย์แห่งเยอรมันและพระจักรพรรดิโรมันอันศักด์สิทธิ์รวมทั้งสิ้น 8 พระองค์ด้วยกัน โบสถ์แห่งนี้มีความงดงามมากจนได้เป็นมรดกโลกโดยองค์กร UNESCO ในปี 1981 นั่นเองจ้า


มหาวิหารชไปเออร์
มหาวิหารชไปเออร์

มหาวิหารชไปเออร์
ด้านหน้าทางเข้ามหาวิหารชไปเออร์
มหาวิหารชไปเออร์
ด้านหน้าทางเข้ามหาวิหารชไปเออร์
ด้านล่างของมหาวิหารชไปเออร์เป็นห้องใต้ดินซึ่งเป็นที่เก็บพระบรมศพของพระมหากษัตริย์เยอรมันและพระจักรพรรดิโรมัน อันนี้จะต้องเสียค่าเข้าชม 1 ยูโรค่ะ 
ห้องใต้ดินของมหาวิหารชไปเออร์

ห้องใต้ดินของมหาวิหารชไปเออร์

มหาวิหารเซนต์แมรี่และเซนต์สตีเฟ่น สถานที่ทำพิธีศีลจุ่มภายในห้องใต้ดิน

ที่เก็บพระบรมศพของพระมหากษัตริย์เยอรมัน


มหาวิหารชไปเออร์
มหาวิหารชไปเออร์
ในสมัยก่อนรอบๆ มหาวิหารจะรายล้อมด้วยอาคารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประติมากรรม The Mount of Olives ทางทิศใต้ ที่พักของท่านบิชอบทางด้านเหนือ และอาคารอื่นๆ เช่น โบสถ์เชนต์นิโคลัส ป้อมปราการ เป็นต้น แต่สิ่งเหล่านี้ถูกทำลายลงในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส



ประติมากรรม The Mount of Olives ถูกไฟไหม้จนเหลือแต่ซากปรักหักพังเมื่อปี 1689 แต่ได้ถูกบูรณาการอีกครั้งโดยนักประติมากร Gottfried Renn ปัจจุบันกลายเป็นแบบนี้


The Mount of Olives
The Mount of Olives
มหาวิหารชไปเออร์
ด้านตะวันออกของมหาวิหารชไปเออร์
ทางด้านตะวันออกของมหาวิหารชไปเออร์ จะเห็นป้อมปราการและหอคอย "Heidentürmchen" หรือ Health Tower ซึ่งเป็นป้อมปราการในยุคกลางที่ยังหลงเหลืออยู่
Heath Tower (Heidentürmchen)
เดินไปอีกหน่อยก็จะเห็นสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันนานาชนิดและร้านกาแฟเล็กๆ น่ารักๆ 

สวนด้านหลังมหาวิหารชไปเออร์
สวนด้านหลังมหาวิหารชไปเออร์

ชมมหาวิหารเสร็จแล้ว ดาก็มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองผ่านถนน Maximillian ซึ่งเป็นถนนหลักจากมหาวิหารไปถึงประตูเมืองเก่า
ทางด้านขวาเราจะเห็นอาคาร Stadthaus (Town House)

Stadthaus (Town House)
ด้านหน้าของ Stadthaus

เดินมาเรื่อยๆ เจอคนมุ่งดูรูปปั้นรูปนึง เราก็สงสัยรูปปั้นอะไรน่ะ (ขอดูบ้างสิ) เป็นรูปปั้น Jacob Spilger เป็นนักแสวงบุญในยุคกลางซึ่งเดินทางหลายร้อยไมล์เพื่อไปเมือง Santiago de Compostela ประเทศสเปน ซึ่งในระหว่างทางไปนั้นก็ได้ผ่านเมืองชไปเออร์ด้วย รูปปั้นนี้จึงเป็นที่ระลึกว่านักแสวงบุญท่านนี้ได้เดินทางผ่านเมืองนี้ในสมัยนั้นนั่นเองค่ะ
รูปปั้นนักแสวงบุญ  Jacob Spilger

ตัวเมืองเก่า

ทางด้านซ้ายมือ เราจะเห็นอาคารสวยสะดุดตาหลังหนึ่ง อาคารหลังนี้ คือ ศาลากลาง (City Hall) ของเมืองชไปเออร์ หลังจากอาคารถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1689 ก็ได้สร้างขึ้นมาใหม่ในปี 1712 - 1726 รวมแล้วใช้เวลาสร้างถึง 15 ปี ปัจจุบันกลายเป็นที่แสดงคอนเสิร์ตเชมเบอร์มิวสิกและเป็นที่จัดงานแต่งงาน

ศาลากลาง (The City Hall)

ถึงแล้วประตูเมืองเก่า (The Old City Gate) ประตูนี้ก่อสร้างเมื่อปี 1230 และมีการสร้างเพิ่มเติมในอีกปี 300 ต่อมา เป็นหนึ่งในประตูเมืองที่สูงที่สุดและสำคัญที่สุดในประเทศเยอรมัน นอกจากนี้ยังเคยเป็นประตูเมืองฝั่งตะวันตกของเมืองชไปเออร์และเป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการในยุคกลางค่ะ ประตูนี้จะหันหน้าเข้าหามหาวิหารชไปเออร์ ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของถนน Maximilian ค่ะ 

ประตูเมืองเก่า (Old City Gate)

อีกฝั่งนึงของประตูเมือง เราจะเห็นกรอบเหล็กติดอยู่กับประตูเมือง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ใช้วัดความยาวของเมืองชไปเออร์ หรือที่เขาเรียกว่า "Speyer's Normal Foot"  โดยขนาดจะอยู่ที่ 28 เซนติเมตร ซึ่งเขาใช้วัดทุกสิ่งทุกอย่างกับพ่อค้าในเมืองชไปเออร์ (อ่ะ จริงดิ)


Speyer's Normal Foot

ทริปวันที่ 3 จบแล้ว ส่วนทริปวันพรุ่งนี้จะมีอะไรมาลุ้นกัน ^^

No comments:

Post a Comment