Saturday, 20 September 2014

วันที่ 4 เที่ยวปราสาท Wartburg, Eisenach

วันที่ 4 แล้ว วันนี้ดาเดินทางมาที่ปราสาท Wartburg ที่เมือง Eisenach ซึ่งอยู่ในรัฐ Thüringen เป็นปราสาทที่เก่าแก่มากๆ ตอนที่ไปปราสาทกำลังซ่อมแซมอยู่พอดี ซึ่งนักท่องเที่ยวก็ยังเข้าไปชมได้ตามปกติค่ะ


ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน

ปราสาท Wartburg

มารู้ประวัติคร่าวๆ ของปราสาท Wartburg กันหน่อยดีกว่า

ปราสาท Wartburg เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของประเทศเยอรมันและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวมาชมมากที่สุดในรัฐ Thüringen รองจาก Weimar 
 
ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1067 โดยท่านเคานท์ Ludwig der Springer และเสร็จสมบูรณ์ในปี 1170 และในปี 1521 - 1522 เป็นสถานที่ที่มาร์ติน ลูเทอร์ (Martin Luther) ได้แปลส่วน New Testament ในคัมภีร์ไบเบิ้ลจากภาษากรีกโบราณเป็นภาษาเยอรมันเสร็จในขณะที่หลบหนีจากการตามล่าของสมเด็จสันตะปาปาและพระจักรวรรดิในสมัยนั้น
 
นอกจากนี้ ปราสาท Wartburg ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับกษัตริย์ Ludwid ที่ 2 สร้างปราสาท Neuschwanschtein อีกด้วยค่ะ

ในปี 1999 ปราสาท Wartburg ก็ได้เป็นหนึ่งในมรดกโลกของ UNESCO

คราวนี้เรามาชมส่วนต่างๆ บริเวณปราสาทกันดีกว่าค่ะ


ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน
ปืนใหญ่ด้านหน้าปราสาท Wartburg


 
ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน
Riiterhaus (Knight's house)

 
ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน
ชั้นในของปราสาท Wartburg และหอคอย Bergfried

     
ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน

สวน Commandant’s Garden


ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน
Gadem ปัจจุบันเป็นร้านอาหาร

ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน
ชั้นในของปราสาท Wartburg ด้านขวา คือ Gadem  ส่วนทางซ้าย คือ Palas


ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน
ฝั่งตะวันตกของปราสาท (Palas)
Palas เป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของปราสาท Wartburg ดั้งเดิมเป็นพระราชวังสไตล์โรมัน สร้างในปี 1157 - 1170 แม้ว่าจะมีการซ่อมแซมภายหลัง อาคารนี้ก็ยังคงตามเป็นสไตล์โรมันเช่นเดิม



ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน
Palas

ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน
Ritterbad




ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน
สวน Kitchen Garden

ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน
หอคอย Südturm
หอคอย  Südturm สร้างขึ้นเมื่อปี 1318 เป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดในปราสาท Wartburg ส่วนด้านล่างของหอคอยนี้จะเป็นคุก
เราสามารถขึ้นหอคอย Südturm นี้เพื่อดูวิวด้านบนได้ โดยเสียค่าเข้าเพียง 50 เซนต์เองค่ะ


 
ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน
วิวจากหอคอย Südturm

ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน
วิวเทือกเขา Thüringen


ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน
วิวจากหอคอย Südturm

ปราสาท Wartburg, Eisenach ประเทศเยอรมัน
ด้านหลังฝั่งตะวันออกของปราสาท Wartburg


ดาเดินชมแต่ภายนอกปราสาท ถ้าหากใครอยากเข้าไปข้างใน มันจะเป็นพิพิทธภัณฑ์ปราสาท Wartburg โดยค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 5 ยูโรต่อคนค่ะ

หลังจากนั้น ก็ขับรถต่อไปที่เมือง Weimar กันเลย มาถึงที่ Weimar ก็ตกเย็นพอดี ไม่ได้เดินดูตัวเมืองมากเท่าไหร่ ก็เลยไปหาที่พักจนได้ที่เหมาะๆ ไม่ไกลจาก Weimar มากนัก เป็นคืนแรกที่ได้แคมป์ปิ้งในป่า บอกก่อนนิดนึงว่ารถของดาจะไม่ใช่รถนอน แต่เป็นรถตู้โล่งๆ ที่ดัดแปลงด้านหลังโดยการใส่เคาน์เตอร์และเตียงเข้าไป เป็นที่พักแบบ compact มากๆ 





แคมป์ปิ้งคืนแรกนอนหลับฝันดี ตื่นเช้ามาไปเที่ยวเมือง Weimar กันค่ะ






Sunday, 14 September 2014

วันที่ 3 เที่ยว เที่ยว Heidelberg และ Speyer (ตอนที่ 2)

มาต่อช่วงบ่ายของวันที่ 3 ที่เมืองชไปเออร์ เมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ตอนบน หนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดใประเทศเยอรมันเลยนะจ๊ะ เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม จุดเด่นของเมืองนี้ คือ มหาวิหารชไปเออร์ (Speyer Cathedral)  ซึ่งตั้งเด่นอยู่ใจกลางเมือง สถาปัตยกรรมเป็นแบบโรมาเนสก์ ภายในเป็นที่ฝังพระบรมศพของพระมหากษัตริย์แห่งเยอรมันและพระจักรพรรดิโรมันอันศักด์สิทธิ์รวมทั้งสิ้น 8 พระองค์ด้วยกัน โบสถ์แห่งนี้มีความงดงามมากจนได้เป็นมรดกโลกโดยองค์กร UNESCO ในปี 1981 นั่นเองจ้า


มหาวิหารชไปเออร์
มหาวิหารชไปเออร์

มหาวิหารชไปเออร์
ด้านหน้าทางเข้ามหาวิหารชไปเออร์
มหาวิหารชไปเออร์
ด้านหน้าทางเข้ามหาวิหารชไปเออร์
ด้านล่างของมหาวิหารชไปเออร์เป็นห้องใต้ดินซึ่งเป็นที่เก็บพระบรมศพของพระมหากษัตริย์เยอรมันและพระจักรพรรดิโรมัน อันนี้จะต้องเสียค่าเข้าชม 1 ยูโรค่ะ 
ห้องใต้ดินของมหาวิหารชไปเออร์

ห้องใต้ดินของมหาวิหารชไปเออร์

มหาวิหารเซนต์แมรี่และเซนต์สตีเฟ่น สถานที่ทำพิธีศีลจุ่มภายในห้องใต้ดิน

ที่เก็บพระบรมศพของพระมหากษัตริย์เยอรมัน


มหาวิหารชไปเออร์
มหาวิหารชไปเออร์
ในสมัยก่อนรอบๆ มหาวิหารจะรายล้อมด้วยอาคารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประติมากรรม The Mount of Olives ทางทิศใต้ ที่พักของท่านบิชอบทางด้านเหนือ และอาคารอื่นๆ เช่น โบสถ์เชนต์นิโคลัส ป้อมปราการ เป็นต้น แต่สิ่งเหล่านี้ถูกทำลายลงในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส



ประติมากรรม The Mount of Olives ถูกไฟไหม้จนเหลือแต่ซากปรักหักพังเมื่อปี 1689 แต่ได้ถูกบูรณาการอีกครั้งโดยนักประติมากร Gottfried Renn ปัจจุบันกลายเป็นแบบนี้


The Mount of Olives
The Mount of Olives
มหาวิหารชไปเออร์
ด้านตะวันออกของมหาวิหารชไปเออร์
ทางด้านตะวันออกของมหาวิหารชไปเออร์ จะเห็นป้อมปราการและหอคอย "Heidentürmchen" หรือ Health Tower ซึ่งเป็นป้อมปราการในยุคกลางที่ยังหลงเหลืออยู่
Heath Tower (Heidentürmchen)
เดินไปอีกหน่อยก็จะเห็นสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันนานาชนิดและร้านกาแฟเล็กๆ น่ารักๆ 

สวนด้านหลังมหาวิหารชไปเออร์
สวนด้านหลังมหาวิหารชไปเออร์

ชมมหาวิหารเสร็จแล้ว ดาก็มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองผ่านถนน Maximillian ซึ่งเป็นถนนหลักจากมหาวิหารไปถึงประตูเมืองเก่า
ทางด้านขวาเราจะเห็นอาคาร Stadthaus (Town House)

Stadthaus (Town House)
ด้านหน้าของ Stadthaus

เดินมาเรื่อยๆ เจอคนมุ่งดูรูปปั้นรูปนึง เราก็สงสัยรูปปั้นอะไรน่ะ (ขอดูบ้างสิ) เป็นรูปปั้น Jacob Spilger เป็นนักแสวงบุญในยุคกลางซึ่งเดินทางหลายร้อยไมล์เพื่อไปเมือง Santiago de Compostela ประเทศสเปน ซึ่งในระหว่างทางไปนั้นก็ได้ผ่านเมืองชไปเออร์ด้วย รูปปั้นนี้จึงเป็นที่ระลึกว่านักแสวงบุญท่านนี้ได้เดินทางผ่านเมืองนี้ในสมัยนั้นนั่นเองค่ะ
รูปปั้นนักแสวงบุญ  Jacob Spilger

ตัวเมืองเก่า

ทางด้านซ้ายมือ เราจะเห็นอาคารสวยสะดุดตาหลังหนึ่ง อาคารหลังนี้ คือ ศาลากลาง (City Hall) ของเมืองชไปเออร์ หลังจากอาคารถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1689 ก็ได้สร้างขึ้นมาใหม่ในปี 1712 - 1726 รวมแล้วใช้เวลาสร้างถึง 15 ปี ปัจจุบันกลายเป็นที่แสดงคอนเสิร์ตเชมเบอร์มิวสิกและเป็นที่จัดงานแต่งงาน

ศาลากลาง (The City Hall)

ถึงแล้วประตูเมืองเก่า (The Old City Gate) ประตูนี้ก่อสร้างเมื่อปี 1230 และมีการสร้างเพิ่มเติมในอีกปี 300 ต่อมา เป็นหนึ่งในประตูเมืองที่สูงที่สุดและสำคัญที่สุดในประเทศเยอรมัน นอกจากนี้ยังเคยเป็นประตูเมืองฝั่งตะวันตกของเมืองชไปเออร์และเป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการในยุคกลางค่ะ ประตูนี้จะหันหน้าเข้าหามหาวิหารชไปเออร์ ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของถนน Maximilian ค่ะ 

ประตูเมืองเก่า (Old City Gate)

อีกฝั่งนึงของประตูเมือง เราจะเห็นกรอบเหล็กติดอยู่กับประตูเมือง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ใช้วัดความยาวของเมืองชไปเออร์ หรือที่เขาเรียกว่า "Speyer's Normal Foot"  โดยขนาดจะอยู่ที่ 28 เซนติเมตร ซึ่งเขาใช้วัดทุกสิ่งทุกอย่างกับพ่อค้าในเมืองชไปเออร์ (อ่ะ จริงดิ)


Speyer's Normal Foot

ทริปวันที่ 3 จบแล้ว ส่วนทริปวันพรุ่งนี้จะมีอะไรมาลุ้นกัน ^^

Saturday, 13 September 2014

วันที่ 1 บินลัลล้าไปเยอรมัน

ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่านี่เป็นครั้งแรกในการเดินทางไปยุโรปของดา ดาเลยอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ครั้งนีเให้กับเพื่อนๆ ถ้าหากผิดพลาดประการ ก็ขออภัยด้วยนะจ๊ะ ^^

ประเทศเยอรมันเป็นประเทศที่ดาใฝ่ฝันอยากไปมากเพราะเป็นประเทศที่สวยงามและเป็นระเบียบมากๆ  และดาเองก็เรียนภาษาเยอรมันอยู่และต้องการที่จะไปเรียนต่อโทที่นู้นด้วย เลยขอไป survey ประเทศเค้าก่อน 

ตอนแรกก็กะว่าจะไปแค่ 2 อาทิตย์เพราะทำงานอยู่ แต่แฟนบอกว่าไป 2 อาทิตย์จะเที่ยวอะไรได้เยอะล่ะ ลา 1 เดือนไปเลย (แหม... มันก็จริงอยู่หรอกนะ แต่ที่ทำงานจะให้เหรอ) ก็เลยลองไปคุยกับหัวหน้าขอลา 1 เดือน ปรากฏว่าได้ค่ะ จริงๆ ก่อนไปคุยนี่มีตั๋วบินแล้วด้วยนะ แฟนบอกให้จองล่วงหน้าเพราะราคายังถูกอยู่ก็เลยได้ราคาที่ถูกที่สุด ณ ตอนนั้น คือ ราคา 31,000 บาท ขาไปบินกับ Luftansa เป็นไฟล์ทตรงจากไทยลงที่เมือง Frankfurt ส่วนขากลับบินกลับ Swiss Air จากเมือง Düsseldorf ไปต่อที่ Zurich แล้วค่อยกลับมาที่ไทยอีกทีค่ะ  

ตอนไปขอวีซ่าไม่ได้ยุ่งยากอะไร ก็คือเตรียมเอกสารไปให้ครบตามที่เว็บไซต์สถานฑูตเยอรมนี แล้วก็เตรียมตัวตอบคำถามเจ้าหน้าที่ หลายคนบอกว่าเจ้าหน้าที่พูดจาไม่ดี บางคนก็ไปหลายครั้ง เราก็เริ่มกังวลและ จริงเหรออ่ะ แล้วเราจะได้วีซ่ามั้ยเนี่ย เลยค้นหาข้อมูลจากหลายๆ เว็บว่าเขาถามอะไรบ้าง ควรตอบยังไง แต่พอไปจริงๆ เจ้าหน้าที่เขาก็ไม่ได้พูดจาไม่ดีนะคะ เขาก็ถามธรรมดาแต่เสียงแข็งๆ เท่านั้นเอง สรุปการการขอวีซ่าก็ผ่านฉลุย 

ต่อมาเรื่องเตรียมกระเป๋า เนื่องจากดาไปหน้าร้อนของเค้า ก็ไม่ได้เอาเสื่้อกันหนาวอะไรไปมาก แต่เตรียมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นไปด้วย และไม่ต้องเอาอะไรไปมาก อย่างพวกแชมพู ครีม เอาไปแค่ขวดเล็กพอ หมดค่อยซื้อเอาที่นู้น ของพวกนี้ที่เยอรมันราคาถูกอยู่ค่ะ และก็ควรเผื่อน้ำหนักขากลับด้วยเพราะเขาให้น้ำหนักกระเป๋าที่ 23 กิโลกรัม สรุปทริปนี้ ดาเตรียมของไปดังนี้
- กางเกงยีนส์ขายาว 3 ตัว ขาสั้น 2 ตัว
- เสื้อยืด 2 ตัว
- เสื้อแขนยาว 4 ตัว
- เสื่อกันหนาว 3 ตัว
- ชุดฟรุ้งฟริ้งกับรองเท้าอีก 1 ชุด (จริงๆ ไม่ได้ฟรุ้งฟริ้งหรอก แค่ดูดีและเรียบร้อย แฟนให้เอาไปด้วยประมาณว่าเผื่อใส่ไปทานข้าวกับพ่อแม่แฟนในร้านอาหาร ก็เลยต้องมีชุดดีๆ 1 ชุด ซึ่งจริงๆ ไม่ได้ใช้เลยจ้า เพราะว่าหนาวเลยใส่กางเกงไปแทน คราวหน้าไม่เอาไปแล้ว T_T เสียใจอ่ะ)
- ผ้าพันคอ 2 ผืน (เอาไว้ใส่ตอนแุคมป์ปิ้ง เพราะค่ำๆ จะเริ่มหนาว)
- ถุงเท้า 6 คู่
- รองเท้าปีนเขา 1 คู่ และรองเท้าเดินเที่ยวอีก 1 คู่
- รองเท้าแตะ 1 คู่ (เอาไปอาบน้ำตอนแคมป์ปิ้ง)
- หมวกแก๊ป 1 ใบ (แดดที่นู้น ร้อนเหมือนกันนะคะ แต่ประมาณว่าทำให้เราอุ่นมากกว่า คนที่นู้นจึงชอบออกมารับแดดกัน)
- ของใช้ส่วนตัว
- ยาประจำตัว 

มีแค่นี้เอง ปาไป 12 กิโลแล้วจ้า พยายามเอาไปน้อยแล้วนะเนี่ย เผื่อของขากลับด้วย

ทริปนี้ดาจะเน้นเที่ยวแบบประหยัด คือ เที่ยวสไตล์แคมปปิ้ง ค่ำไหนนอนนั่นเพราะแฟนดามีรถแบบนอนได้ แต่ก็มีบ้างที่นอนค้างบ้านครอบครัวของแฟนกับบ้านแม่ของดา

เอาล่ะ ถึงเวลาบินไปเยอรมันแล้ว ตื่นเต้นจังเลย บินคนเดียวด้วยอ่า (เพราะแฟนชิ่งบินตัดหน้าไปแล้ว อ่ะ ไม่ใช่ เขาต้องกลับไปก่อนอยู่แล้วค่ะ) ดาไปเช็คอินก่อนเวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง เช็คกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยก็เข้าไปข้างในแล้วเดินหา Gate ก่อนเลย แล้วค่อยเดินไปดูของที่ Duty Free ฆ่าเวลา

ถึงเวลาบินแล้ว ไฟล์ทของดาเป็นไฟล์ทกลางวันพยายามจะนอนให้ได้มากที่สุดแต่ก็นอนไม่ค่อยหลับ ก็ดูหนัง ฟังเพลงไปเรื่อยๆ จะบอกว่าบริการของ Lufthansa ดีมากค่ะ รู้สึกอิ่มตลอดเวลาตอนอยู่บนเครื่อง คือ มาเสิร์ฟมื้อถัดไปแล้ว แต่ยังรู้ว่าอิ่มจากมื้อที่แล้วอยู่เลย 

เปี่อยอยู่บนเครื่องหลายชั่วโมงก็ถึงประเทศเยอรมันแล้ว เย้! 

ตอนมาถึงนี่หมอกเต็มๆ ค่า ฝนตกด้วย (หน้าร้อนจริงอ่ะ) ตอนเอากระเป๋านี้ก็เดินตามกลุ่มคนไทยด้วยกันไป ประมาณว่ารอแล้วรออีกทำไมกระเป๋ายังไม่มา ก็เริ่มสงสัยกันแล้วว่า หรือว่าจะโดนกักกระเป๋าไว้ !(เพราะกระเป๋าแต่ละคนนี่มีมะเขือ ขิง กุ้งแห้งเต็มไปหมด) สรุปคือไปผิด tray จ้า ... แง่ว (ดันไปผิดกันหมดนี่สิ) ไปผิด tray ไม่พอออกผิดประตูด้วยจ้า เดินตามเค้าออกไปแบบงงๆ (ก็ครั้งแรกอ่ะ) จู่ๆ ก็เจอแฟนทัก เราก็อ้าว เอ๋อ กำลังมองหาป้ายจุดที่นัดกับเค้าอยู่พอดี เค้าก็บอกว่า ว่าแล้วต้องออกผิดประตู รอตั้งนาน เห็นท่าไม่ดีเลยเดินมาเช็คอีกฝั่ง 55

วันแรกไปพักที่บ้านพ่อแม่แฟนก่อนเลยค่ะ ซึ่งอยู่ที่ Mannheim ถึงฝนตกแต่รถไม่ติดเหมือนบ้านเราค่ะ ไปเรื่อยๆ แต่ดางงไฟจราจรเพราะสี่แยกนึงนี่เยอะแยะไปหมด ทั้งไฟสำหรับรถยนต์ คนข้ามแล้วก็จักรยาน คือมีระเบียบมาก แม้แต่กระทั่งความเร็ว คนเยอรมันจะเข้มงวดในการขับรถมาก หากขับด้วยความเร็วที่กำหนด แทบจะไม่ติดไฟแดงเลย คือ ผ่านไฟเขียวทุกสี่แยก ส่วนเลนจักรยานก็เป็นของจักรยานเท่านั้น คนจะข้ามถนนก็ต้องดูจักรยานด้วย อยู่ๆ จะดุ่มๆ ข้ามไม่ได้นะคะ เกิดจักรยานชนนี่คนข้ามผิดน้า อีกอย่างหนึ่งที่มาถึงนี่แล้วรู้สึกแปลกใจคือการจอดรถ คือ เขาจอดคร่อมฟุตบาทค่ะ เขาก็มีโรงรถแหละ แต่ถ้าบ้านนึงมีหลายคัน จอดไม่พอก็ต้องจอดคร่อมฟุตบาทหน้าบ้าน

และแล้ววันแรกผ่านไปด้วยดี ได้นอนบนเตียงอุ่นๆ กินอาหารอร่อยๆ แต่เชื่อเลยว่าจะต้อง jetlag แน่นอน